วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

การเปิดใจเป็นเรื่องสำคัญ

การเปิดใจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นประตูสู่ความสำเร็จ
บางคนไม่กล้าที่จะรับฟังความจริง
บางคนไม่ศึกษาหาข้อมูลให้เพียงพอก่อนการตัดสินใจ
บางคนก็ตัดสินใจเพราะคนจำนวนมากตัดสินใจยกย่องว่าดี
บางคนไม่สนใจได้ แต่เดินตามเขาไป
บางคนน่าเศร้าเพราะฟังความข้างเดียว
บางคนอยากพัฒนาแต่ไปผิดที่



บางคนสำเร็จ บางคนล้มเหลว บางคนทำได้
บางคนทำไม่ได้ บางคนไม่ได้ทำ
บางคนสำเร็จได้ด้วยดีเพราะ

มีวิธีจัดการที่ดี

หลักคิดที่ดี

สิ่งแวดล้อมที่ดี

และสุดท้ายความสำเร็จเริ่มได้ด้วยตัวคุณเอง

เลือกเรียนถูกที่มีชัยไปกว่าครึ่ง



อายุ 18 ปี กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีใบที่สอง ยังไม่ได้ประกอบอาชีพ
สาวน้อยที่เห็นบรรดาพี่ๆเรียนนิติศาสตร์แล้วรู้สึกอยากลองเรียนดูบ้างและลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เธอเรียนได้ดีทีเดียว โดย "นา" จบการศึกษาจบระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นที่ 33 และจบเนติบัณฑิตจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภารุ่นที่ 61 ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ สาขาการบัญชี
"เรียนม.รามกับโครงการ PRE DEGREE เหมือนพี่ ๆ ค่ะและใช้เวลาศึกษาทั้งหมดสามปี ขณะเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1-2 ก็ศึกษาระดับมัธยมปลายที่ ก.ศ.น.พร้อมกันไปด้วย จากนั้นก็ศึกษาต่อที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายเนติบัณฑิตยสภา ใช้ระยะเวลาศึกษา 1ปีครึ่งค่ะ" นาบอกเคล็ดลับในการเรียนของเธอว่าต้องอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่อ่านก่อนสอบเท่านั้นและต้องเข้าเรียนในห้องเรียนเป็นประจำด้วย เธอเล่าว่ามีคติในการเรียนอย่างหนึ่งที่นำมาใช้จนประสบความสำเร็จหากใครอยากจะนำไปใช้ก็ได้ไม่ว่ากันคือ "รากโคนของการเรียนนั้นมีรสขม หากแต่ส่วนผลนั้นหอมหวาน"
"สำหรับดิฉันคิดว่าการที่มีพี่เรียนที่เดียวกันคณะเดียวกันก็ดีตรงที่ว่าไม่เข้าใจอะไรก็มีพี่ไว้คอยปรึกษาได้การลงทะเบียนเรียนพี่ก็ช่วยดูว่าวิชาไหนควรลงเรียนก่อนหลังควรเตรียมตัวเรียนอย่างไรบ้าง ตอนนี้ก็จบเนติบัณฑิตแล้วอยากเรียนต่อปริญญาโท และถ้าจบโทต่อไปอาจทำงานในสายกฏหมายเพื่อเก็บอายุงานรอสอบผู้พิพากษาหรืออัยการเมื่ออายุครบ 25ปี ดิฉันคิดว่าสำหรับผู้หญิงแล้วก็ไม่มีอะไรต่างกับผู้ชายด้านการเรียนหรอกค่ะเพราะขึ้นอยู่กับว่าใครจะขยัน ใครจะไขว้คว้าหาความรู้ได้มากกว่ากัน และในปัจจุบันก็มีผู้พิพากษาหรืออัยการที่เป็นผู้หญิงอยู่มากซึ่งบางทีผู้หญิงก็อาจมีความรอบคอบมากกว่าผู้ชายอีกด้วย"สาวน้อยนักกฎหมายวัยเยาว์กล่าวทิ้งท้ายในที่สุด

นิตยสารการศึกษาอัพเกรด ฉบับ 120

อายุน้อย จบเร็ว มีคุณภาพ ฉลาดเลือกเรียนแบบสุดๆ



อายุ 20 ปี นิติกรศาลอุทธรณ์แผนกงานรับฟ้อง ประจำศาลอุทธรณ์กลาง
"อ้น" บุตรสาวคนที่สามของครอบครัวและเป็นคนโตในจำนวนพี่น้องผู้หญิง จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นที่ 31 และจบนติบัณฑิตยจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา รุ่นที่ 60 ปัจจุบันกำลังรอผลการสอบสัมภาษณ์ เข้าศึกษาระดับปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ สาขาทรัพย์สินทางปัญญา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้รับใบอนุญาตประกออบวิชาชีพทนายความรุ่นที่ 28
ในวัยเด็กอ้นเรียนอนุบาลและประถมศึกษาที่โรงเรียนปฐมพรพิทยา ผลการเรียนแค่พอใช้อยู่ในเกณฑ์ธรรมดา หลังจากนั้นก็เข้ามัธยมที่โรงเรียนวิเศษสมุทคุณพร้อมกับตอนนั้นคุณพ่อได้เรียนที่ ก.ศ.น จึงได้ไปสมัครเรียนพร้อมกับคุณพ่อด้วย พอได้วุฒิม. 3ของ ก.ศ.น แล้วจึงตัดสินใจออกจากมัธยมสองที่โรงเรียนวิเศษฯ พร้อมกับนำวุฒิ ม.3ไปสมัครเรียนระบบ NON-DEGREE (ปัจจุบันเรียก PRE-DEGREE) ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ โดยเรียนไปพร้อมๆกับเรียนมัธยมปลายที่ก.ศ.นในวันอาทิตย์ ซึ่งวันจันทร์-ศุกร์ส่วนใหญ่ก็มาเข้าฟังคำบรรยายที่ม.รามคำแหง พอเรียนจบม.ปลายที่ ก.ศ.นจึงได้นำวุฒิม.ปลายมาเทียบโอนหน่วยกิตที่รามคำแหงและเรียนต่ออีกหนึ่งซัมเมอร์ก็สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 2)โดยใช้เวลาศึกษาเพียง 3 ปี หลังจากนั้นก็ศึกษาต่อที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา จบเป็นเนติบัณฑิตไทยสมัยที่ 60
"อ้นคิดว่านิติศาสตร์เป็นสาขาที่ปัจจุบันมีคนใฝ่รู้มากขึ้น และนำไปปรับใช้ได้อย่างกว้างขวางกว่าสาขาอื่นๆ และทำให้มีความเพียร ความขยัน ความอดทน ความมีเหตุผลด้วยและที่สำคัญให้อนาคตที่สดใสแก่เราจึงตัดสินใจเลือกเรียนสาขานี้โดยใช้เวลาเรียนปริญญาตรีนิติศาสตร์สามปี สำหรับคนที่เลือกเรียนนิติศาลตร์อ้นอยากแนะนำว่าคุณไม่ต้องเป็นคนเก่งแค่เพียงเป็นคนขยันสม่ำเสมอ อดทน และมีความเพียรแค่นี้อนาคตที่ใฝ่ฝันก็จะเป็นจริงค่ะ"
สาวอ้นวางแผนไว้ว่าอยากทำงานหาประสบการณ์ไปก่อนพร้อมกับเรียนระดับปริญญาโทไปพร้อมกัน แต่เมื่อใดที่เธออายุครบ 25 ปี จะไปสอบเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาหรืออัยการผู้ช่วย ซึ่งเหลือเวลาไม่นานอีกแค่ 5 ปีเท่านั้นฝันของเธอก็จะเป็นจริง

ฉลาดคิดฉลาดเลือก



อายุ 21 ปี นิติกรอัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
กองคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือกฏหมายแก่ประชาชนฝ่ายอัยการพิเศษฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภค แฝดผู้น้อง จบการศึกษาจบระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นที่ 32 และจบเนติบัณฑิตจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา รุ่นที่ 60 ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารงานยุติธรรมและกำลังรอผลการสอบสัมภาษณ์เข้าศึกษาระดับปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ สาขาทรัพย์สินทางปัญญา มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความรุ่นที่ 29
ถึงหนึ่งแฝดผู้พี่จะเป็นคนใจร้อน แต่สองแฝดผู้น้องคนนี้กลับเป็นคนใจเย็น ชอบสังเกต ชอบหาเหตุผล สองกับหนึ่งเติบโตมาพร้อมๆ กันจึงเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยเหตุผลเดียวกัน โดยที่สองใช้เวลาศึกษาเพียงแค่สามปีครึ่ง และเมื่อจบนิติศาสตร์จากม.รามฯ ก็เรียนเนติบัณฑิตต่อเช่นกัน จากนั้นจึงสอบเป็น "ทนายความ" จนกระทั่งสำนักงานอัยการเปิดรับสมัครนิติกรผู้ช่วยพนักงานอัยการ สองจึงสอบเข้ามาเป็นนิติกรอัยการเพื่อหาประสบการณ์ในการทำงานก่อน
"การจะเรียนนิติศาสตร์ได้ควรมีความตั้งใจและควรหาเพื่อนเรียนเพราะเวลามีปัญหาจะได้ช่วยกัน ถ้ามีกลุ่มได้พูดคุยกันจะทำให้เรียนได้ดีการทำงานเป็นนิติกรคือมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของสำนวน การผัดฟ้องฝากขัง การสอบพยานและจดบันทึกคำพยาน การนัดหมายพยาน เตรียมพยานการติดตามพยานพร้อมติดตามผลการส่งหมาย การคัดคำสั่งคำพิพากษา ช่วยวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในสำนวนจัดทำและยื่นคำฟ้อง คำให้การ คำคู่ความ และบัญชีพยาน ติดตามคดีและทำรายงานคดี สรุปความเห็นเสนอพนักงานอัยการ ช่วยร่างคำฟ้องคำให้การ คำแก้อุทธรณ์ คำแก้ฎีกา คู่ความ คำร้อง คำขอ คำแถลงต่างๆฯลฯ หากจะทำงานตำแหน่งนี้คุณสมบัติคือคุณต้องจบศึกษาที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตสภาเสียก่อน แล้วต่อไปก็สามารถสอบเป็นข้าราชการตุลาการ เช่น ผู้พิพากษา หรือพนักงานอัยการได้"
ถึงจะเป็นคู่แฝดกันแต่ชีวิตก็ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันซะทีเดียวนัก เพราะเป้าหมายอนาคตของสองคือการเป็นผู้พิพากษาหรือพนักงานอัยการในอนาคตซึ่งคติที่เขาใช้อยู่เสมอคือจุดมุ่งหมายข้างหน้าขึ้นอยู่กับการกระทำในวันนี้

คิดไม่ธรรมดา เลือกเรียนก็ไม่ธรรมดา



อายุ 21 ปี พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.หนองแขม
หนึ่งเป็นพี่ชายคนโตแฝดผู้พี่ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นที่ 32 และจบเนติบัณฑิต จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา รุ่นที่ 59 ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารงานยุติธรรมกับระดับปริญญาโทคณะนิติศาสตร์ สาขากฎหมายธุรกิจและเอกชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ตำรวจหนุ่มวัย 21 เล่าว่า เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงก็เพราะเห็นว่ามีโครงการ PRE DEGREE ใช้เวลาเรียนสี่ปีพร้อม ๆ กับการเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายควบคู่ไปด้วย หลังจากเรียนจบนิติศาสตร์ที่ม.รามฯ แล้วจึงเรียนเนติบัณฑิตต่อทันทีเพราะคิดว่าควรจะเรียนให้มากที่สุดก่อนที่จะทำงาน หลังจบเนติ ฯ แล้วหนึ่งช่วยทางบ้านทำงานประมาณหกเดือนก่อนแล้วจึงสอบเข้ารับราชการเป็นตำรวจ
"ผมสนใจด้านกฎหมายเป็นพิเศษ เพราะเห็นว่านิติศาสตร์เป็นวิชาที่มีประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม การเป็นตำรวจและพนักงานสอบสวนนอกจากจะมีหน้าที่เกี่ยวกับการทำคดีสั่งฟ้องผู้ต้องหา และการเข้าเวรแล้ว ยังต้องให้คำปรึกษาทางด้านข้อกฎหมายกับประชาชนที่เดือดร้อนที่ต้องการคำปรึกษาทั้งทางแพ่งและอาญาอีกด้วย หากใครคิดว่าตำรวจต้องทำคดีอาญาอย่างเดียว ผมว่าคิดผิด เพราะตำรวจต้องมีความรู้รอบด้านไม่ว่าทางแพ่งหรืออาญา แม้กระทั่งกระบวนพิจารณาคดีในศาล ก็ต้องสามารถให้คำปรึกษากับประชาชนได้"
"และการเป็นตำรวจใช่ว่าจะดูดี หรืองานสบาย ผมบอกตรงนี้ได้เลยว่าไม่ใช่ เพราะการจะทำงานในสายนี้ได้ คุณต้องมีการเสียสละทางด้านเวลาส่วนตัวสูงมาก งานที่ทำไม่ใช่เฉพาะต้องเข้าเวรมาเช้าเย็นกลับ แต่ต้องคอยสลับเปลี่ยนกันเพราะตำรวจทำงาน 24 ช.ม. ไม่มีวันหยุด ต้องปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลาแม้จะเป็นเวลาพักผ่อนก็ตาม แม้แต่หลังจากออกจากเวรแล้วยังต้องตามสะสางงานที่รับมาจากตอนที่เข้าเวรด้วย และถ้ามีเหตุด่วนอะไร เราจะต้องพร้อมเสมอ"
ถึงแม้อนาคตหนึ่งวางแผนไว้ว่าอยากทำธุรกิจส่วนตัวแบบคุณพ่อคุณแม่แล้วก็ตามแต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจมากกับอาชีพตำรวจก็คือการที่คอยแก้ไขและช่วยเหลือประชาชนมาตลอดนั้นเป็นงานที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่าในชีวิตมากที่สุด

ตัวอย่างของผู้สำเร็จการศึกษาแบบไม่ธรรมดาสุดๆ


หากจะมองหาสักครอบครัวหนึ่งครอบครัวใดที่มีพี่น้องท้องเดียวกันเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน ประกอบอาชีพคล้ายๆกันและอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ คงจะหาไม่ง่ายนัก เพราะต่างคนต่างความคิด ต่างจิตต่างใจ ไม่ค่อยมีใครอยากเหมือนใครมักจะพยายามทำสิ่งที่แตกต่างกันตามความชอบและความถนัดของแต่ละคน ซึ่งต่างจากครอบครัวของ "รุ่งเรืองศุภรัตน์"
ครอบครัวใหญ่พื้นเพชาวสมุทรสาครที่พี่น้องทุกคนเลือกเรียน มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ เหมือนกัน โดยเข้าเรียนกับโครงการ PRE DEGREE หรือหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นสามารถเรียนในระดับปริญญาตรีได้เร็วกว่าปกติจนกระทั่งจบการศึกษาและประสบความสำเร็จในอาชีพอย่างงดงามทุกคน ทั้งนี้เพราะได้แรงบันดาลใจจากคำแนะนำของคุณพ่อที่เคยกล่าวไว้กับลูก ๆ ว่า "การดำเนินชีวิตในสังคมไม่ว่าจะด้านใด ก็ต้องสัมผัสกับกฎหมาย อย่างน้อยจึงควรจะรู้ไว้เพื่อดูแลตัวเอง" เสมือนเป็นการจุดประกายให้ลูก ๆ หันมาศึกษาวิชากฎหมายกันอย่างจริงจัง โดยมีพื้นฐานจากความสนใจของแต่ละคนอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น วันนี้จึงเกิด "ครอบครัวแห่งวงการนักกฎหมาย" ขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นอาชีพตำรวจ นิติกร อัยการ หรือผู้พิพากษาก็ล้วนอยู่แต่ในครอบครัวนี้ทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความอบอุ่นของครอบครัวถ้ามีแต่ความความเข้าใจซึ่งกันและกันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

บุคคลผู้สำเร็จ การศึกษา pre dregree


 นายธงทอง นิพัทธรุจิ นิติศาสตรบัณฑิต ม.ร. จบการศึกษาด้วยระบบ Pre-Degree และ จบเนติบัณฑิตไทย สมัย 58 ด้วยอายุเพียง 20 ปี และปัจจุบันกำลังศึกษาปริญญาโท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แบบที่ 1 สิ่งดีๆ และโอกาสที่ผมได้รับ จากการเรียนระบบ Pre-Degree ล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่า ระบบ Pre-Degree ของ ม.ร. เป็นระบบที่มีคุณภาพ เป็นเส้นทางที่ดี และสามารถสร้างผม ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ได้ดังคำขวัญของมหาวิทยาลัยที่ว่า “เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง”
แบบที่ 2 “เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง” ผมไม่ได้คิดว่าเป็นเพียงตัวอักษร หรือตัวหนังสือเท่านั้น แต่เป็นคำที่มาจากความเป็นจริง เป็นคำที่ไม่มีวันตาย และเป็นคำที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า นักศึกษาที่จบเป็นบัณฑิตจาก ม.ร. ล้วนเป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม มีคุณภาพ ระบบการสอนเป็นเส้นทางที่ดี และสามารถนำความรู้ไปศึกษา ต่อในสถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ